วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Lean Accounting


Lean Accounting

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและกระบวนการหลายประการในองค์กรที่บริหารแบบลีน ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารต้นทุนไปด้วย การบริหารต้นทุนแบบเดิมอาจไม่สามารถใช้การได้ดีนักในสภาพแวดล้อมแบบลีน ในความเป็นจริง การบริหารต้นทุนและการควบคุมแบบเดิมอาจสวนทางกับการผลิตแบบลีน ระบบต้นทุนมาตรฐานและการแบ่งปันงบประมาณตามแผนกอาจทำให้เกิดการผลิตที่ มากเกินความต้องการในการผลิตแบบลีน ตัวอย่างเช่น การเพิ่มประสิทธิภาพคนงาน โดยการเปรียบเทียบชั่วโมงการทำงานจริงกับจำนวนชั่วโมงที่กำหนดเป็นมาตรฐาน จะกระตุ้นให้คนงานทำงานหนัก และในทางเดียวกัน การเพิ่มประสิทธิภาพของแผนก (ตัวอย่างเช่น การเพิ่มอัตราการทำงานของเครื่องจักร) จะทำให้ส่วนที่ไม่ใช่คอขวดทำการผลิตเกินความต้องการ และมีงานระหว่างทำเกิดขึ้นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น เราทราบกันอยู่แล้วจากที่ศึกษาเรื่อง Activity-based costing ว่าในโรงงานที่ผลิตสินค้าหลายชนิด การใช้อัตราโสหุ้ยรวมทั้งโรงงานจะทำให้เกิดความบิดเบือนกับต้นทุนของการผลิตหรือกิจกรรมที่สนใจ ต้นทุนสินค้าที่บิดเบือนอาจส่งผลให้เกิดความผิดพลาดในการผลิตแบบลีน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดดังกล่าว ระบบการดำเนินงานและการควบคุมจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนไปสู่ รูปแบบ Value Stream ของระบบการผลิตแบบลีน

Focused Value Streams and Traceability of Overhead Costs

(Value Streams ที่สนใจ และ ความติดตามได้ของต้นทุนโสหุ้ย)

ระบบต้นทุนใช้วิธีการ 3 อย่างในการ แบ่งต้นทุนให้กับผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด: direct tracking , driver tracing และ allocation. ซึ่งวิธีการ direct tracking เป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงสุด สมมมุติว่า value stream ถูกสร้างให้กับผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดในโรงงาน
ในสภาพแวดล้อมแบบลีน อุปกรณ์ต่างๆรวมทั้งแรงงานจะถูกกำหนดลงไปใน Value Stream ของแต่ละแผนกอย่างเป็นทางการ และสามารถคิดต้นทุนได้โดยตรง โดยทั่วไปแล้ว การใช้ระบบลีนไม่ต้องการคนเพิ่มเติม ระบบลีนเป็นระบบที่มุ่งกำจัดกิจกรรมที่ไร้ประโยชน์ และลดจำนวนคนลง โดยที่แต่ละคนอาจได้รับการฝึกเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถทำกิจกรรมเพิ่มคุณค่าใน Value Stream ได้มากขึ้น เช่น การจัดซื้อ และการควบคุมคุณภาพ การใช้ทรัพยากรเช่น พื้นที่ทำการผลิต จะถูกคิดต้นทุนตามปริมาณที่ใช้ เช่น หากโรงงานมีขนาด 20,000 ตารางฟุต ต้องจ่ายค่าเช่าเดือนละ $200,000 คิดเป็น $10 ต่อตาราฟุต แผนกที่ใช้พื้นที่ 5,000 ตารางฟุต ก็จะถูกคิดต้นทุน $50,000 ทำให้ผู้บริหาร Value Stream หาทางลดพื้นที่ที่ใช้ลง โดยที่ยังมีผลผลิตเท่าเดิม เนื่องจากต้นทุนที่ลดลงได้จะทำให้ผลกำไรต่อหน่วยเพิ่มสูงขึ้น

Product Costing

(การคิดต้นทุนผลิตภัณฑ์)
จากรูปแบบการทำงานแบบครบวงจรของ Value Stream ทำให้ต้นทุนสนับสนุนส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายใน Value Stream นั้นๆ และสามารถติดตามต้นทุนได้โดยตรง ทำให้สามารถพูดได้ว่าต้นทุนที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการผลิตสินค้าใน Value Stream นั้นเอง การคำนวณมูลค่าผลิตภัณฑ์จึงคำนวณได้จากต้นทุน หารด้วยจำนวนที่ผลิต ตัวอย่างเช่น ในเดือนมกราคม ใช้ต้นทุนไป 800,000 และสามารถผลิตสินค้าได้ 5,000 หน่วย ต้นทุนต่อหน่วยก็จะเท่ากับ $800,000/5,000 = $160 การคำนวณต้นทุนจาก Value Stream จึงเรียบง่ายและมีความแม่นยำสูง

Limitation and Problems

(ข้อจำกัดและปัญหา)
ในทางปฏิบัติ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะกำหนดให้คนทุกคนไปประจำใน Value Stream เพียงสายเดียว เนื่องจาก อาจมีบางคนที่ไม่ถูกกำหนดเข้าไปใน Value Stream สายใดสายหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ผู้จัดการโรงงาน อย่างไรก็ดี ต้นทุนเหล่านี้เป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับต้นทุนทั้งหมด ในที่สุดแล้ว การกำหนดให้มี Value Stream สายเดียวสำหรับผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีนัก สิ่งที่พึงปฏิบัติคือการกำหนดให้มี Value Stream โดยเฉพาะสำหรับสินค้าแต่ละประเภท

Value Stream Costing with Multiple Product

(การคิดต้นทุน Value Stream ในโรงงานที่มี Product หลายชนิด)
(สมมติให้) Value Stream หลายสายถูกกำหนดให้สำหรับสินค้าแต่ละชนิด หน่วยการผลิตใน Value Stream มีขั้นตอนการผลิตที่เหมื่อนๆกัน การคำนวณต้นทุนจะทำในลักษณะเดียวกับการคิดต้นทุนของ value stream สายเดียว

Product costing

สำหรับผลิตภัณฑ์หลายชนิด ต้นทุนผลิตภัณฑ์สำหรับ value stream จะถูกคำนวณโดยใช้ ต้นทุนค่าเฉลี่ยที่เกิดขึ้นจริง
ต้นทุนผลิตภัณฑ์ = ต้นทุนรวมในช่วงเวลา / สินค้าที่ส่งในรอบเวลา
การใช้สินค้าที่ส่งเป็นตัวหาร แทนที่จะเป็นสินค้าที่ผลิต จะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้จัดการพยายามผลิตสินค้าให้พอดีกับความต้องการ เพื่อลดขนาดของสินค้าคงคลัง และการผลิตที่มากเกินความต้องการจะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณการผลิตที่มากขึ้นอีกด้วย

ในบางครั้ง การคำนวณต้นทุนจะคิดเฉพาะต้นทุนแปรสภาพเท่านั้น เนื่องจาต้นทุนวัตถุดิบของสินค้าแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันมาก การใช้ต้นทุนผลิตภัณฑ์เฉลี่ย มีประโยชน์ในการประมาณการใช้ทรัพยากรโดยเฉพาะในกรณีที่สัดส่วนการผลิตของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดเป็นค่าคงที่ การเปลี่ยนแปลงของต้นทุนเฉลี่ยนั้นเพียงพอที่จะใช้วัด การเปลี่ยนแปลงของประสิทธิภาพในเชิงธุรกิจ แต่ถ้าสัดส่วนของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดไม่คงที่ จะทำให้การวัดการเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพทำได้ไม่ดีนัก ในกรณีนี้เราจำเป็นต้องใช้วิธีการอื่นที่ดีกว่าแทน

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โจทย์ ต้นทุนงานสั่งทำ และ ต้นทุนช่วง


โจทย์ ต้นทุนงานสั่งทำ และ ต้นทุนช่วง
            บริษัท สอง จำกัด ใช้ระบบต้นทุนงาน เมื่อ 1 เม.ย มีงานระหว่างทำต้นงวด 3 งาน คือ งานที่ #111 งานที่ #222 และงานที่ #333 ระหว่างเดือนเมษายน มี 2 งาน ที่เริ่มผลิตคืองาน #444 และงานที่ #555 เมื่อวันที่ 30 เม.ย มีงานที่ผลิตเสร็จ คืองาน #222 และงาน #333 และงาน #555 โดยมีข้อมูลดังต่อไปนี้ (หน่วย : บาท)
                                  งาน #111           งาน #222           งาน #333           งาน #444           งาน #555
ยอดคงเหลือ             17,280                 39,360              31,680                               0                      0
วัตถุทางตรง             22,400                 17,920                2,400                   112,000             88,000
แรงงานทางตรง     16,000                 19,200                 2,880                     80,000             64,000

            ค่าใช้จ่ายในการผลิตคิดเข้างานอัตรา 120% ของต้นทุนแรงงานทางตรง ราคาขายคิดจากราคาทุนบวก 40% ของราคาทุน ค่าใช้จ่ายดำเนินงานเดือนเมษายนเป็นจำนวน 117,440 บาท
ให้ทำ 1. จัดทำบัตรต้นทุนงานสำหรับแต่ละงาน เมื่อ 30 เมษายน
           2. คำนวณงานระหว่างทำปลายงวด เมื่อ 30 เม.ย และต้นทุนสินค้าที่ขายเดือน เม.ย
           3. จัดทำงบกำไรขาดทุนของบริษัท สำหรับเดือน เม.ย


วิธีทำ
1.จัดทำบัตรต้นทุนงานสำหรับแต่ละงานเมื่อ 30 เมษายน
                              บัตรต้นทุนงาน
งาน #111           งาน #222           งาน #333           งาน #444           งาน #555
ยอดคงเหลือ               17,280               39,360              31,680                          0                      0
วัตถุทางตรง               22,400               17,920                2,400              112,000             88,000
แรงงานทางตรง       16,000               19,200                 2,880                80,000             64,000
                (16,000*120%)   (19,200*120%)   (2,880*120%)   (80,000*120%)   (64,000*120%)
ค่าใช้จ่ายในการผลิตคิดเข้างาน
                                    19,200               23,000                 3,456                96,000             76,800
รวม                            74,880               99,520               40,416              288,000             228,800

                 2.คำนวณงานระหว่างทำปลายงวด เมื่อ 30 เมษายน และต้นทุนสินค้าที่ขายเดือนเมษายน

งานระหว่างทำปลายงวด = คืองานที่ยังผลิตไม่เสร็จ
= งาน #111 และ งาน #444
= 74,880 + 288,000
= 362,880 บาท

ต้นทุนสินค้าที่ขาย (เมษายน) = คืองานที่ผลิตเสร็จ
= งาน #222 งาน #333 และ งาน #444
= 99,520 + 40,416 + 228,800
= 368,736

               3.จัดทำงบกำไรขาดทุนของบริษัท สำหรับเดือนเมษายน
บริษัท สอง จำกัด
งบกำไรขาดทุน
สำหรับเดือนสิ้นสุด 30 เมษายน 25x1

ขาย                                                                                      516,230.40
                                    (ต้นทุนสินค้าที่ขาย*ต้นทุนส่วนเพิ่ม 40%) + ต้นทุนสินค้าที่ขาย
                                                (368,736 * 0.40) + 368,736 = 516,230.40
 ต้นทุนสินค้าที่ขาย                                                          (368,736.00)
กำไรขั้นต้น                                                                         147,494.00
หัก ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน                                      117,440.00
กำไรจากการดำเนินงาน                                                     30,054.40
            

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัดการวิเคราะห์ผลแตกต่าง


แบบฝึกหัดการวิเคราะห์ผลแตกต่าง
ตัวอย่างที่ 1
บริษัทซีบีที จำกัด มีข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนมาตรฐานต่อหน่วยสินค้าสำเร็จรูปทางตรงที่ใช้ในการ
ผลิตสินค้าชนิดหนึ่งดังนี้
            วัตถุดิบ 2 หน่วย หน่วยละ 4 บาทเท่ากับ 8 บาทต่อหน่วย
            ข้อมูลจริงที่เกิดขึ้นในระหว่างงวดมีดังนี้
            บริษัททำการผลิตสินค้าสำเร็จรูปได้ทั้งสิ้น                           10,000   หน่วย
            จำนวนวัตถุดิบที่ซื้อระหว่างงวด                                        22,000   หน่วย
            ราคาวัตถุดิบที่ซื้อหน่วยละ                                                    4.50   บาท
            ปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต                                          22,000   หน่วย
จงทำ
1.          คำนวณหาผลแตกต่างเนื่องจากราคาวัตถุดิบทางตรงเมื่อเบิกใช้
2.          คำนวณหาผลแตกต่างเนื่องจากปริมาณการใช้วัตถุดิบในการผลิต
ในการวิเคราะห์ผลแตกต่างจะต้องคำนวณหาปริมาณวัตถุดิบทางตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ด้วย
            ปริมาณวัตถุดิบทางตรงตามมาตรฐาน
                        = หน่วยสินค้าที่ผลิต * ปริมาณวัตถุดิบตามมาตรฐานต่อหน่วย
                        = 10,000 * 2
                        = 20,000 หน่วย
ผลแตกต่างเนื่องจากราคาวัตถุดิบทางตรงเมื่อเบิกใช้
                        = (ราคาจริง - ราคามาตรฐาน) * ปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
                        = (4.50 – 4) * 22,000
                        = 99,000 – 88,000
                        = 11,000 บาท ไม่น่าพอใจ
ผลแตกต่างเนื่องจากปริมาณการใช้วัตถุดิบในการผลิต
                        = (ปริมาณจริง - ปริมาณมาตรฐาน) * ราคามาตรฐาน
                        = (22,000 – 20,000) * 4
                        = 88,000 – 80,000
                        = 8,000 บาท ไม่น่าพอใจ

ผลแตกต่างรวมของวัตถุดิบทางตรง
                        = 11,000 + 8,000
                        = 19,000 บาท ไม่น่าพอใจ


ตัวอย่างที่ 2
จากตัวอย่างที่ 1 ค่าแรงงานทางตรงมาตรฐานในการผลิตต่อหน่วยสินค้าสำเร็จรูปมีดังนี้
            เวลาที่ใช้ในการผลิตต่อหน่วย                                            2   ชั่วโมง
            อัตราค่าแรงงานทางตรงชั่วโมงละ                                      20   บาท
            ข้อมูลที่เกิดขึ้นในระหว่างงวด มีดังนี้
            เวลาที่ใช้ในการผลิตจริง                                            19,800   บาท
            อัตราค่าแรงงานทางตรงที่จ่ายจริงต่อชั่วโมง        20.50   บาท
จงทำ
1.          คำนวณหาผลแตกต่างเนื่องจากอัตราค่าแรงงานทางตรง
2.          คำนวณหาผลแตกต่างเนื่องจากประสิทธิภาพของแรงงาน
ในการวิเคราะห์ผลแตกต่างจะต้องคำนวณหาจำนวนชั่วโมงแรงงานตามมาตรฐานที่กำหนดไว้โดย
                        จำนวนชั่วโมงแรงงานตามมาตรฐาน
                        =  หน่วยสินค้าที่ผลิต * จำนวนชั่วโมงแรงงานตามมาตรฐานต่อหน่วย
                        = 10,000 * 2
                        = 20,000 ชั่วโมง
ผลแตกต่างเนื่องจากอัตราค่าแรงงานทางตรง
                        = (อัตราจริง - อัตรามาตรฐาน) * เวลาที่ใช้จริง
                        = (20.50 – 20) * 19,800
                        = 405,900 – 396,000
                        = 9,900 บาท  ไม่น่าพอใจ



ผลแตกต่างเนื่องจากประสิทธิภาพของแรงงาน
                        = (เวลาที่ใช้จริง - เวลาที่ใช้ตามมาตรฐาน) * อัตรามาตรฐาน
                        = (19,800 – 20,000) * 20
                        = 396,000 – 400,000
                        = -4,000 บาท น่าพอใจ
ผลแตกต่างรวมของค่าแรงงานทางตรง
                        = 9,900 - 4,000
                        = 5,900 บาท ไม่น่าพอใจ



         ตัวอย่างที่ 3
จากตัวอย่างที่ 1
            อัตราค่าใช้จ่ายในการผลิตผันแปร                                       1.50   บาท/ชั่วโมง
            เวลาที่ใช้ในการผลิตสินค้าต่อหน่วย                                         2   ชั่วโมง
ข้อมูลค่าใช้จ่ายในการผลิตที่เกิดขึ้นจริงในระหว่างงวดมีดังนี้
อัตราค่าใช้จ่ายในการผลิตผันแปร                                       1.35   บาท/ชั่วโมง
เวลาที่ใช้ในการผลิตจริง                                                 19,800   ชั่วโมง
จงทำ
1.          คำนวณหาผลแตกต่างเนื่องจากอัตราค่าใช้จ่ายในการผลิตผันแปร
2.          คำนวณหาผลแตกต่างเนื่องจากประสิทธิภาพของค่าใช้จ่ายในการผลิตผันแปร
ในการวิเคราะห์ผลแตกต่างจะต้องคำนวณหาจำนวนเวลามาตรฐานที่ยอมให้ ณ ระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงดังนี้



            เวลามาตรฐาน ณ ระดับการผลิตจริง
                        = หน่วยสินค้าที่ผลิต * เวลามาตรฐานต่อหน่วย
                        = 10,000 * 2
                        = 20,000 ชั่วโมง
ผลแตกต่างเนื่องจากอัตราค่าใช้จ่ายในการผลิตผันแปร
= (อัตราจริง - อัตรามาตรฐาน) * เวลาที่ใช้จริง
                        = (1.35 – 1.50) * 19,800
                        = 26,730 – 29,700
                        = -2,970 บาท น่าพอใจ
ผลแตกต่างเนื่องจากประสิทธิภาพค่าใช้จ่ายในการผลิตผันแปร
                        = (เวลาที่ใช้จริง - เวลามาตรฐาน) * อัตรามาตรฐาน
                        = (19,800 – 20,000) * 1.50
                        = 29,000 – 30,000
                        = -300 บาท น่าพอใจ
ผลแตกต่างรวมของค่าใช้จ่ายในการผลิตผันแปร
                        = -2,970 + (-300)
                        = -3,270 บาท น่าพอใจ